วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

ขอบคุณที่มา http://women.thaiza.com (foodietaste)

         มีทั้งการช่วยลดอาการอักเสบของกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก ทำหน้าที่เหมือนยาระบายอ่อนๆ ช่วยทำให้ระบบดูดซึมแร่ธาตุและวิตามินทำงานดีขึ้น และน้ำมันมะกอกยังกระตุ้นการเก็บรักษาแร่ธาตุของกระดูก เพื่อป้องกันการสูญเสียแคลเซียมในกระดูกของผู้สูงอายุได้ด้วย อีกทั้งยังช่วยให้อาหารมีรสชาติอร่อย ช่วยให้เจริญอาหารได้อีกอย่างหนึ่ง

        ช่วยการหมุนเวียนของโลหิต

น้ำมันมะกอก ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (arteriosclerosis) รวมทั้งภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย และเส้นเลือดใน สมองแตก

         ระบบย่อยอาหาร

น้ำมันมะกอก ช่วยให้ระบบการทำงานของส่วนต่าง ๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ และถุงน้ำดี ทั้งนี้ยังช่วยป้องกันการก่อตัวของนิ่วอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าน้ำมันมะกอกช่วย บรรเทาอาการกระเพาะอักเสบ แผลในกระเพาะ และยังเป็นยาระบายอ่อนๆ

         ผลต่อผิวหนัง
น้ำมันมะกอก ช่วยปกป้องหนังกำพร้า ช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ซึ่งเกิดจากวิตามินอี และ สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมันมะกอกนั่นเอง นอกจากนี้ยังใช้ได้ผลดีในการป้องกันโรคผิวหนังและลดริ้วรอยเหี่ยวย่น

         ระบบต่อมไร้ท่อ

น้ำมันมะกอก ช่วยให้ระบบการเผาผลาญอาหาร (metabolic function) ภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพน้ำมันมะกอกได้กลายเป็นทางเลือกที่ดี ที่สุดในการป้องกันและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานจาก การศึกษาล่าสุดพบว่าระดับกลูโคสของผู้ที่มีสุขภาพดีจะลดลง12% เมื่อรับประทานน้ำมันมะกอก

         ผลต่อกระดูก

น้ำมันมะกอก ช่วยในการเสริมสร้างกระดูก และช่วยให้ร่างกายของคนเรามีประสิทธิภาพในการดูดซึม แร่ธาตุและแคลเซี่ยมได้ดี และสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุน

         ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

น้ำมันมะกอก ช่วยป้องกันเนื้องอกที่เกิดกับอวัยวะบางส่วน (เต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่ ปีกมดลูก) ทั้งนี้เพราะกรดไขมันที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกนั้นช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านการก่อตัวของ ติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่กล่าวมา

         ต้านสารกัมมันตภาพรังสี

ภายหลังจากที่มีการค้นพบว่าน้ำมันมะกอกช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทานสาร กัมมันตภาพรังสีได้ น้ำมันมะกอกได้รับบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของอาหารสำหรับนักบินอวกาศ

         เหมาะใส่ในอาหารเด็กอ่อน

ด้วยสารประกอบในน้ำมันมะกอกและคุณสมบัติในการช่วยย่อยอาหาร จึงนับได้ว่าน้ำมันมะกอกเป็น ไขมันธรรมชาติที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำนมมารดามากที่สุด

         ป้องกันความชราภาพการ

ที่เรารู้จักหาวิธีการเพื่อต่อต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของเรา เพื่อป้องกันภาวะ ความเสื่อมถอยของสุขภาพ อันเนื่องมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นนั้น นับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งจากการค้นคว้าวิจัยเราได้ทราบว่าน้ำมันมะกอกมี คุณสมบัติในการต่อต้านภาวะความเสื่อมถอยของสมองและยังช่วยยืดอายุของเราให้ ยืนยาวขึ้นอีกด้วย

         ลดภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจ

จากการค้นคว้าวิจัยพบว่า น้ำมันมะกอกนั้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ในขณะเดียวกันจะไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดระดับลง 

น้ำมันมะกอก : ต้องบริสุทธิ์ขั้นเทพ (ธิดา)

ขอบคุณที่มา  http://www.thaipost.net/news/080713/76085
(คุณวีระ มานะคงตรีชีพ วันที่ 8 และ 15 กรกฎาคม 2556)

ขออนุญาตนำท่านสู่โลกแห่งความรื่นรมย์ที่เกิดจากอาหารรสเลิศ ดนตรีไพเราะ สุดแสนคลาสสิก  ภายใต้แสงแดดอุ่น และเสียงคลื่นที่ดังมาไกลๆ จากทะเล (เมดิเตอร์เรเนียน) โดยมีสิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ .......

“น้ำมันมะกอก” ชนิด “บริสุทธิ์ขั้นเทพ” (Extra-Virgin Olive Oil)
    ทำไมน้ำมันมะกอกจึงขาดไม่ได้ 
    น้ำมันมะกอกเกี่ยวอะไรกับโลกแห่งความรื่นรมย์แห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
    ทำไมต้อง “บริสุทธิ์ขั้นเทพ”
    และที่สำคัญ น้ำมันมะกอกมีอะไรให้ “หักมุม” ได้หรือ?

น้ำมันมะกอก (Olive Oil) : น้ำมันที่มีมาพร้อมกับพระเจ้า
    อะไรคือน้ำมันมะกอก?
    คำตอบที่ง่ายที่สุดก็คือ น้ำมันมะกอกก็คือ “หยดน้ำมัน”  (Juice) ที่ออกมาจากผลมะกอกที่ถูกคั้นอย่างทั่วถึง และถ้าจะให้ดีก็ต้อง “คั้นเย็น” (Cold Pressed)
    ส่วนผลมะกอกก็มาจากต้นมะกอกโอลีฟ ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Olea europaea 
    (จากนี้ไปในคอลัมน์นี้เมื่อพูดถึงมะกอกจะหมายถึงมะกอกโอลีฟ หรือ Olive/Olea ไม่ใช่มะกอกน้ำ หรือมะกอกไทย หรือหนำเลี๊ยบ หรือมะกอกสามตะกร้า ฯลฯ) 
    
    มะกอกโอลีฟมีความสำคัญพิเศษมากๆ ก็เพราะความเก๋า หรือความเก่าของมันนั่นเอง
    ตามตำนานปรัมปรา...
    เชื่อกันว่าโอลีฟเป็นพืชสวรรค์ที่เกิดจากสุสานของ “อดัม” (ยังจำอดัมกับอีฟได้ใช่ไหมครับ?) โดยรากของมันงอกออกมาจากกะโหลกของอดัมนั่นเอง โดยไม่มีใครไปปลูกมัน มันงอกของมันออกมาเอง
    โอดีซูส (Odysseus) หลังจากเรืออับปางแทบจะบักโกรกตาย ครั้นได้ชโลมกายด้วยน้ำมันมะกอกก็กลับกลายเป็นเช่นเทพดั่งเดิม 
    นางมารี แม็กดาเลน (Mary Magdalene) ก็ใช้น้ำมันมะกอกชโลมเท้าของพระคริสต์ ก่อนจะสยายผมของตนเช็ดน้ำมันดังกล่าว 
    ในตำนานอียิปต์ก็เชื่อกันว่ากษัตริย์ฟาโรห์ใช้น้ำมันมะกอกจุดถวายเทพเจ้ารา (เทพแห่งอาทิตย์) และชาวยิวก็ใช้น้ำมันมะกอกเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟพิธีในพิธีกรรมทางศาสนามาจนทุกวันนี้
    และที่สำคัญที่สุดก็น่าจะเป็นตำนาน “นกพิราบคาบกิ่งโอลีฟ” จากเรือโนอาห์ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ และสันติสุข หลังจากพระเจ้าได้ประทานอภัยให้แก่มนุษย์โลก
    ตัดเข้ามาในโลกมนุษย์ที่เป็นจริง.....
    เชื่อกันว่าน้ำมันมะกอกถูกใช้ในการประกอบอาหาร เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางค์ ฯลฯ มาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 5,000 ปีแล้ว
    ทั้งกรีกและโรมันล้วนแต่นิยมชมชอบ “น้ำมันมะกอก”  กันอย่างคลั่งไคล้ แม้แต่กรุงเอเธนส์ก็ยังมีที่มาจากต้นมะกอกเลย
    พวกโรมันเองเป็นผู้ที่ส่งเสริมให้เกิดการแพร่ขยายการปลูกมะกอกไปทั่วเมดิเตอร์เรเนียน และเชื่อว่ามะกอกที่ปลูกในอิตาลีโดยเฉพาะที่ Puglia เป็นมะกอกที่ดีที่สุดในโลก
    แม้กระทั่งคำว่า Oil ในภาษาอังกฤษก็เชื่อกันว่าแผลงหรือเพี้ยนมาจากคำว่า Olive นั่นเอง
น้ำมันมะกอกทุกวันนี้ ต้องบริสุทธิ์ขั้นเทพเท่านั้น?
    ทุกวันนี้สเปนเป็นผู้ผลิตใหญ่ที่สุดในโลกประมาณ 44%
    อิตาลีตามมาห่างๆ เป็นอันดับสอง ประมาณ 22%
    กรีซเป็นอันดับสาม 12%
    ซีเรียอันดับสี่ 6% โปรตุเกสอันดับห้า 5%
    ปิดท้ายด้วยโมร็อกโค 3-4%  
    ที่เหลือรวมกันปลูกไม่ถึง 10%
    ฉะนั้น จึงสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า มะกอกโอลีฟเป็นเรื่องของเมดิเตอร์เรเนียนโดยแท้ เพราะสามยักษ์เฝ้าทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คือ สเปน อิตาลีและกรีซ ครอบงำการผลิตกว่า 80% ของทั้งโลก ทั้งพันธุ์มะกอกโอลีฟที่ดีที่สุดก็ยังถือกำเนิดและเติบใหญ่ที่นี่
    
    แล้วทำไมต้องบริสุทธิ์ขั้นเทพ (Extra-Virgin)? ในเมื่อของดีที่สุดก็ผลิตโดยคนที่ปลูกมากที่สุดอยู่แล้ว
    ก่อนอื่นต้องรู้จักน้ำมันมะกอกที่เรียกว่า “บริสุทธิ์ขั้นเทพ”  (Extra-Virgin) เสียก่อน
    จะเรียกว่าเป็นน้ำมันมะกอกชนิดบริสุทธิ์ขั้นเทพได้จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
    อันดับแรก ต้องเป็นมะกอกพันธุ์ดี ส่วนใหญ่ในอิตาลีก็มักจะอยู่แถบ Puglia Siena และTuscany ถ้าเป็นกรีซก็คือที่เกาะ Cretes ที่สเปนก็คือที่ Andaluca แถบ Jaen Province
    อันดับต่อมา ก็ต้องคั้นแบบ Cold Pressed โดยต้องเป็นเครื่องจักรแบบกลไกเท่านั้น ห้ามใช้สารเคมีหรือสารละลายใดๆ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นการคั้น Juice ของผลมะกอกนั่นเอง
    แต่ที่สำคัญก็คือ ต้องทำที่ความร้อนไม่เกิน 30 องศา ซึ่งโดยทั่วไปที่ยึดถือกันก็คือ 28 องศา 
    ผลที่ได้ก็จะเป็นน้ำมันมะกอกขั้นเทพ (Extra-Virgin Olive Oil) ชนิดบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจาก “กรดใดๆ” ไม่ว่าจะเป็นกรด Oleic หรือ Peroxide แต่กลับจะเต็มไปด้วย “กลิ่น” และ “รส” อันเป็นผัสสะเดิมแท้ของมันเอง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหรือรสแบบมะเขือเทศ หรือแบบ Artichoke หรือออกแนว “เผ็ด” (spicy and peppery) ไปเลย
    แต่ถ้ามีรสชาติเหมือน “ปัสสาวะแมว” เกจิแห่งวงการมะกอกพรหมจรรย์ท่านบอกว่า มะกอกสาวนี้ได้ออกเรือนไปนานแล้ว
    และก็เช่นเดียวกับที่สาวพรหมจรรย์ในยุคศตวรรษที่ 21 เป็นอะไรที่สุดแสนจะหายากก่อนวันวิวาห์เจ้าน้ำมันมะกอกที่แสนจะบริสุทธิ์ผุดผ่องขั้นเทพด้วยวิธีการผลิตและบีบคั้นข้างต้น จึงเป็นอะไรที่หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
    ทว่า ในท้องตลาด ในซูเปอร์ฯ แทบทุกแห่งมีแต่ Virgin กับ Extra-Virgin ทั้งนั้น 
    นั่นย่อมแปลว่า “ย้อมแมวขาย” นั่นเอง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกือบจะเรียกว่า “ปกติ” ของธุรกิจน้ำมันมะกอกในตลาดโลกทุกวันนี้
    
    การค้าน้ำมันมะกอกมีมาแต่โบราณ ย้อนหลังไปเป็นพันปี และการย้อมแมวขายก็มีมาตั้งแต่นั้นเช่นกัน
    ตามหลักฐานเท่าที่ปรากฏ แม้แต่ในยุคของจักรพรรดิพโตเลมีในอิยิปต์ (Ptolemaic Egypt) การปลอมปนย้อมแมวขาย “น้ำมันมะกอก” ก็มีอยู่เกลื่อนตลาดแล้ว ในอาณาจักรโรมันการป้องกันการปลอมปนถึงกับเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องมีหน่วยงานเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มีการแยกแยะและจัดชั้นน้ำมันมะกอก โดยให้ระบุสถานที่ปลูก แหล่งผลิต แหล่งบรรจุ วันเดือนปี และชื่อผู้ค้าพร้อมที่อยู่อย่างชัดเจน โดยจารึกไว้บน “ภาชนะบรรจุ” ที่มีลักษณะคล้ายไห ทำด้วยดินเผา (Amphorae) และผู้ที่ถูกจับได้ว่า “ย้อมแมวขาย” จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง
    ทำไมกับแค่น้ำมันมะกอกแค่นี้ จึงต้องเรื่องมากถึงเพียงนี้
น้ำมันมะกอก : แพงยิ่งกว่าทองคำในอดีต ขุมทรัพย์หมื่นล้านในปัจจุบัน
    ท่านผู้อ่านทราบไหมว่านอกจาก “ไหม” แล้ว อะไรคือสินค้าที่มีค่าที่สุดในเมืองจีนยุคโบราณ
    ไม่ใช่ทองคำ และก็ไม่ใช่เพชร
    คำตอบที่ถูกก็คือ “เกลือ” 
    ในประเทศจีนเมื่อหลายร้อยปีก่อน เกลือมีค่ายิ่งกว่าทองคำ
    ในอาณาจักรโรมัน ในเวลาใกล้เคียงกัน “น้ำมันมะกอก” ก็เป็นของที่มีค่ามากกว่าทองคำเช่นกัน
    ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกโรมัน (และพวกกรีกก่อนหน้านั้น) ให้ความสำคัญกับน้ำมันมะกอก ดุจ “น้ำทิพย์” จากสรวงสวรรค์ ที่ใช้กินก็ได้ ทาก็ได้ ทำให้เป็นสาวงาม ชายงาม อมตะพันปีไม่แก่ไม่เฒ่า ที่สำคัญยังใช้ทำอาหารก็ได้ ใช้เป็นเชื้อเพลิงตามไฟก็ได้อีกด้วย
    เรียกว่าดีกว่า “น้ำมัน” ชนิดใดๆ ในโลก 
    ถึงขนาดนำไปใช้เรียกน้ำมันในปัจจุบันว่า Petroleum ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำสองคำคือ Petra (ก้อน หิน) และ Oleum (มะกอก) 
    ฉะนั้นน้ำมันที่ใช้เติมรถ ที่เราเรียกกันว่า Black Gold นั้นก็คือ “น้ำมันมะกอกจากก้อนหิน” นั่นเอง
    ในเมื่อน้ำมันมะกอกมีค่าดุจทองคำเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จักรพรรดิโรมันหลายพระองค์มีภูมิหลังมาจากลูกหลานตระกูล “ค้าน้ำมันมะกอก” เพราะเงินกับอำนาจมักจะอยู่คู่กันและไปด้วยกันอยู่แล้ว
    จักรพรรดิ Marcus Aurelius จักรพรรดิ Hadrian โดยเฉพาะจักรพรรดิ Septimius Severus ที่โด่งดังนั้น ล้วนมาจากตระกูลพ่อค้าน้ำมันมะกอก และไหที่ใช้เป็นภาชนะใส่น้ำมันมะกอกโดยตรงเลย
    และด้วยเหตุนี้ก็จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกันที่ทำไมขบวนการปลอมปนน้ำมันมะกอกจึงขจัดไม่หมดเสียที!
    ขายน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (ขั้นเทพ) ไม่รวยหรอก
    ขายน้ำมัน (เถื่อน) ปลอมปนต่างหากถึงจะรวย...รวยขั้นเทพเลย!
น้ำมันมะกอกปลอมปน : ท้าทายจิตสำนึก และความแน่วแน่ทางการเมืองของอิตาลีและอียู
    เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพว่าทำไมนักธุรกิจ (ในตลาดสินค้าเกษตร) จำนวนหนึ่งจึงเลือกที่จะ “ปลอมปน” แบบโกงไปโกง แทนที่จะทำธุรกิจแบบซื่อๆ ตรงๆ ขออนุญาตเรียนว่าตลาดสินค้าเกษตรทั่วโลกนั้นมีมูลค่าปีละไม่ต่ำกว่า 5,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ห้าล้านล้านดอลลาร์)
    ค้าขายกันปีเดียวก็มีมูลค่ามากกว่า GDP ประเทศไทย 15 ปี
    ส่วนตลาดน้ำมันมะกอกทั้งที่ปลอมปนและที่บริสุทธิ์ผุดผ่องรวมกันปีละหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และนับวันก็มีแต่จะโตวันโตคืน
    จะไม่ให้ผู้คน “ตาโต” กันได้อย่างไร
    ฉะนั้น ทั้งนักธุรกิจ นักการเมือง ตำรวจ ข้าราชการ ฯลฯ จึงพร้อมใจกัน “ย้อมแมวขาย” น้ำมันมะกอกกันอย่างสนุกสนาน
    ผู้ที่รับเคราะห์ก็คือประชาชนตาดำๆ เพราะไม่มีปัญญาจะซื้อ “น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์” ที่แท้จริงได้
    คนรวยไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะเขารู้ว่าจะซื้อของแท้ได้ที่ไหน 
    แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง!
    นักธุรกิจที่มีจิตสำนึกก็ยังมีอยู่!
    และที่สำคัญ “ภาคประชาชน” ทั่วโลกกำลังเติบใหญ่และเข้มแข็งขึ้นทุกวัน ในยุโรปเองก็มีการรณรงค์ปราบปรามการปลอมสินค้าเกษตรอย่างกว้างขวาง 
    เมื่อปี ค.ศ.1991 ตำรวจอิตาลี (สาขาพิเศษที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อปราบปรามเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะ) ได้ทำการจับกุมนาย Domenico Ribatti เจ้าพ่อน้ำมันมะกอก เจ้าของและผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท Riolio มหาเศรษฐีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นขาใหญ่ที่สุดในตลาดน้ำมันมะกอก ใหญ่ขนาดบรรดายี่ห้อดังๆ ไม่ว่าจะเป็น Bertolli, Sasso, Filippo Berlio, Carapelli, Unilever ล้วนแต่ต้องอาศัยน้ำมันมะกอกจาก Ribatti เป็นวัตถุดิบทั้งสิ้น 
    ตำรวจตั้งข้อหา Ribatti ว่าปลอมปนน้ำมันมะกอก โดยใช้น้ำมันเฮซัลนัทจากตุรกี และน้ำมันดอกทานตะวันจากอาร์เจนตินามาผสม โดยผ่านกระบวนการฟอกล้างขจัดกลิ่นทางเคมีอย่างแยบยล แล้วนำมาบรรจุขวดติดยี่ห้อเป็น “น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ขั้นเทพ” (Extra Virgin Olive Oil) ซึ่งจะได้ราคาสูงขึ้นกว่าสิบเท่าตัว 
    แน่นอนว่า นาย Ribatti ให้การปฏิเสธทุกข้อหา แต่ที่ตกม้าตายจนต้องติดคุกก็เพราะเธอไม่ได้นำน้ำมันชนิดมาผสมแล้วบรรจุขวดขายภายใต้แบรนด์ของตัวเองเท่านั้น เธอยังร่วมมือกับแบรนด์ดังทั้งหลายขายน้ำมันปลอมปนให้พวกเขาไปติดยี่ห้อดังด้วย หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ Unilever ซึ่งตำรวจกันไว้เป็นพยานขึ้นมาปรักปรำนาย Ribatti โดยยืนยันว่าซื้อน้ำมันปลอมปนมาจริง แต่ถูกนาย Ribatti หลอก ผลก็คือนาย Ribatti ท้ายสุดก็ต้องยอมติดคุก เพื่อรับโทษที่น้อยลง
    หลังจากถูกดำเนินคดี เธอก็ไปร่ำลาบรรดาพรรคพวกที่สมาคมน้ำมันมะกอกของอิตาลี (ASSITOL) ที่เคยนั่งเป็นกรรมการอยู่ แล้วพูดทิ้งท้ายว่า เธอเป็น “แพะรับบาป” เพราะถ้าเธอต้องติดคุกจริงๆ กรรมการสมาคมจะไม่เหลือสักคน  (นัยก็คือบริษัทน้ำมันมะกอกทุกบริษัทในสมาคมล้วนแต่ปลอมปนทั้งสิ้น!)
    แล้วที่สุดนาย Ribatti ก็ติดคุกแต่เพียงผู้เดียว กรรมการคนอื่นๆ ก็ยังอยู่ครบ!
    ขอดื่มให้น้ำมันมะกอบริสุทธิ์ขั้นเทพ (ธิดา) และการเมืองอิตาลี!!!.

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ผลดีต่อสุขภาพของน้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น คุณภาพสูงสุด

ยืนยันจากผลงานวิจัยทางการแพทย์มากมาย  ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ชั้นนำทั่วโลก


ปริมาณที่แนะนำ คือ วันละ 30 มล. ขั้นไป ใช้ปรุงอาหาร หรือรับประทานสดก็ได้ เพราะมีรสชาติดี มีกลิ่นหอมธรรมชาติของมะกอกที่ไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี

1.  ลดการเกิดโรคหัวใจ 40% : Ann Intern Med, 145 (5) 394 - 395 (2006)
2.  ลดความดันโลหิต : The J. of  Nutrition, 137 (1) ม 84 - 84 (2007)
3.  ลดการเกิดโรคเบาหวาน  51: Diabeter Care, 34 (1) 14 - 19 (2011)
4.  ป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม : Public Health nutr 9 (2009) : 163 - 167
5.  ป้องกันการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ : European J. of cancer, 47 (3), 436 - 442
6.  ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ : Annols of Oncology 18 (1) 36 - 39 (2007)
7.  ป้องกันอัมพฤกษ์, อัมพาต ลดได้ 41% : Neurology, 77 (5), 418 - 425
8.  กระตุ้นการสร้างกลูต้าไธโอน Glutathioneสามารถเพิ่มระดับกลูต้าไธโอนในเลือดให้สูงขึ้นอีก  58% ภายใน 1 ชั่วโมง หลังรับประทานน้ำมันมะกอกคุณภาพสูง ซึ่งจะมีผลดีอย่างมากในการกำจัดสารพิษ, ต้านอนุมูลอิสระ, เสริมภูมิคุ้มกัน, ปกป้อง  เสริมสร้าง ทุกเซลล์ ทุกอวัยวะ ช่วยชะลอวัย ผิวสวย ขาวใส อ่อนวัย อยู่เสมอ : Journal of Agricultural and Food Chemistry, 57 (5) 1793 - 1796 (2009)
 9.  บำบัดอาการของโรคข้ออักเสบ : Nutrition, 21 (3) 131 - 136 (2005)
10.  ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก : European J. of Clinical Nutition, 63 (11),1371 - 1374 (2009)
11.  ชะลอความแก่ของผิวหนัง : Plo S one, 7 (9), 44490
12.  ป้องกันบำบัดโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ลดอาการของแผลลง 33 %   ลดการเกิดแผลเป็นของกระเพาะ 55%ศึกษาโดย Charbonnier เดลินิวส์ 8 เมษายน 2555
13.  ป้องกันโรคสมองเสื่อม : Neurology, 80,18 (2013) (1684 - 1692)

หมายเหตุ : น้ำมันพืทั่วไป เช่นน้ำมันปาล์ม, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันรำข้าว, น้ำมันมะกอก,จะไม่มีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 ( EPA + DHA) ดังนั้นการรับประทานน้ำมันมะกอกเสริมด้วย น้ำมันปลาทะเล 1000 มก. วันละ 2 แคปซูล  จะได้รับ EPA + DHA 600 มก. จะเกิดสมดุลย์โอเมก้า 3,6,9 ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างฮอร์โมน และอย่างสมดุลย์ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพ ป้องกันโรคร้ายต่างๆ กว่า 100 โรค ชะลอแก่ ชะลอเสื่อมได้อย่างแท้จริง

อันตราย เมื่ออาหารได้รับความร้อนจากการปรุงอาหาร

1. ตัวน้ำมันเอง เมื่อถูกความร้อน ก็จะเริ่ม กระบวนการ Oxidation แตกตัวเป็นสารก่อมะเร็ง  Aldehyde และสารโพลาร์ (Polar Compound) ซึ่งจะแตกตัวมากยิ่งขึ้น เมื่อเลยจุดเกิดควัน (Smoked Point) แต่ถ้าเป็น Super Premium Extra Virgin Olive Oil จะมีจุดเกิดควันสูง (สูงกว่า 210ºC) และมี Hydroxytyrosol และ Polyphenol  สูง เข้าไปยับยั้งกระบวนการ Oxidation  ทำให้มี Aldehyde และสาร Polar Compound   เกิดขึ้นน้อยมาก จึงสามารถทอดซ้ำได้ไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง : Journal of agricultural and food chemistry, 52 (16), 5207 - 5214  (2004)
2. เมื่อใช้ทอดเนื้อสัตว์ จะลดการเกิดสารก่อมะเร็ง Heterocyclic amine (เฮทเทอโรไซคลิกเอมีน) ลง 90%  เมื่อเทียบกับการทอดด้วยน้ำมันอื่น Food Sciene and Biotechnology, 20 (1), 159 - 165 (2011)
3. เมื่อใช้ทอดแป้ง จะลดการเกิดสารก่อมะเร็ง Acrylamide  (อคริลาไมด์) ลง 90เมื่อเทียบกับการทอดด้วยน้ำมันอื่น
: Jordan Journal of Agricultural Sciences,6 (2) (2010)
4. เมื่อใช้ทอดเนื้อสัตว์ สามารถลดปริมาณไขมันอิ่มตัวในเนื้อลง 30ลดโคเลสเตอรอล 25% : Grasas y Aceites, 49 (3-4), 359 (1998)
5. ลดสารก่อมะเร็งลง 90% เมื่อหมักเนื้อหรือหมักอาหาร  ด้วยน้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น คุณภาพสูง 2 - 4 กรัม ก่อนนำไปปิ้งหรือย่าง : Food Sciene and Biotechnology, 20 (1), 159 - 165 (2011)

หมายเหตุ น้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น คุณภาพสูงสุด ถือเป็นน้ำมันล้างพิษ, ล้างสารก่อมะเร็ง (Detox) ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก เหนือกว่า น้ำมันพืชทุกชนิด 


สัดส่วนของกรดไขมัน
ในน้ำมันปาล์

น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว

น้ำมันมะกอก

ชนิดน้ำมัน
กรดไขมันอิ่มตัว
กรดไขมันไม่อิ่มตัว
หนึ่งตำแหน่ง (โอเมก้า 9)
กรดไขมันไม่อิ่มตัว
หลายตำแหน่ง (โอเมก้า 6)
น้ำมันปาล์ม
49.3%
37%
9.3%
น้ำมันถั่วเหลือง
15.7%
22.8%
51.0%
น้ำมันรำข้าว
19.7%
39.3%
33.4%
น้ำมันมะกอก
7%
80%
9.8%
  • น้ำมันปาล์ม  มีข้อเสีย คือ มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึง 50จึง เพิ่มไขมันชนิดเลว (LDL) เร่งการเกิดตะกอนตะกรัน อุดตันเส้นเลือด 
  • น้ำมันถั่วเหลือง  มีข้อเสีย คือ มีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 6 สูง เกินไป (51%) จะถูกนำไปสร้างโพรสตาแกรนดินซีรีย์ 2 เกิดการอักเสบเลือดหนืดข้น, หลอดเลือด หลอดลมหดตัว ฯลฯ เกิดโรคต่างๆตามมากมาย 
  • น้ำมันรำข้าว มีข้อเสีย คือ มีกรดไขมันโอเมก้า 6 มากเกินไป (33.4 %มีผลเสีย เหมือนน้ำมันถั่วเหลือง และแกมมาโอริซานอล ในน้ำมันรำข้าว จะไม่ทนความร้อน จึงป้องกันการเกิด สารพิษและสารก่อมะเร็ง ขณะทอดได้น้อยกว่าการทอดด้วย น้ำมันมะกอก 
  • น้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น เกรดคุณภาพสูงสุด ไม่มีผลเสียเลย มีแต่ผลดี ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วมีสัดส่วนของกรดไขมัน ที่เหมาะต่อการบริโภคที่สุด และมีสารพฤกษเคมี กลุ่ม Hydroxytyrosol และ Polyphenol กว่า 30 ชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงเป็นน้ำมันที่ดีที่สุด เพื่อการ บริโภคทุกๆ วัน อย่างแท้จริง 

น้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น เกรดคุณภาพสูงสุด

(Super Premium Extra Virgin Olive Oil)

ตามมาตรฐาน 3E (International Association 3E) มีคุณภาพสูงกว่าน้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้นทั่วไป (มาตรฐาน  Codex)

คุณลักษณะ
Extra Virgin Olive Oil
มาตรฐานองค์การอาหารโลก (Codex)
Super Premium  Extra Virgin Olive Oil
มาตรฐาน 3E  (International Association 3E)
ปริมาณกรดไขมันอิสระ
ค่าความหืน (PV)
จุดเกิดควัน
ไม่เกิน 0.8%
ไม่เกิน 20 มก. สมมูลย์
170 - 190°C
ไม่เกิน 0.3%
ไม่เกิน 7.5 มก. สมมูลย์
มากกว่า 210°C

นอกจากนี้ Super Premium Extra Virgin Olive Oil  ยังมีคุณสมบัติที่โดดเด่นอื่นๆ อีก เช่น มีสาร Hydroxytyrosol และ Polyphenol สูงกว่า, มีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า (Oleic Acid) สูงกว่า ฯลฯ

หมายเหตุ น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า ดีที่สุดในการบำรุงผิวและผม)และสารต้านอนุมูลอิสระ Hydroxytyrosol และ Polyphenol สูงกว่า น้ำมันพืชทุกชนิด

การแบ่งประเภทน้ำมันมะกอก

          1.  น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้ (Extra Virgin Olive Oil
คือ น้ำมันมะกอกที่ผลิตโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี  ใช้วิธีบีบเย็นครั้งแรก (First Cold Pressควบคุมปริมาณกรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acid) ไม่ให้เกิน 0.8จัดเป็น น้ำมันมะกอกชนิดดีที่สุด มีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพสูงกว่า น้ำมันมะกอกชนิดอื่น
          2.  น้ำมันมะกอกเวอร์จิ้น (Virgin Olive Oil
คือ น้ำมันมะกอกที่ผลิตโดยไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี  แต่มีคุณภาพด้อยกว่าประเภทที่ 1 ควบคุมปริมาณกรดไขมันอิสระ (Free Fatty Acid) ไม่ให้เกิน  2%
          3.  น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธี (Refined Olive Oil, Light Olive Oil, Extra Light Olive Oil)
คือ น้ำมันมะกอกที่ใช้กระบวนการทางเคมี มีการสกัด กลิ่น, สี, รส ออกไป ทำให้สารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหายไปหมด
          4. น้ำมันมะกอก (Olive Oil  หรือ Pure Olive oil)
คือ น้ำมันมะกอกที่มีการผสมระหว่างน้ำมันมะกอกชนิดเอ็กซ์ตร้า เวอร์จิ้น กับ น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธี เพื่อเพิ่มคุณประโยชน์ขึ้นบ้าง และราคาไม่แพงเกินไป
          5. น้ำมันกากมะกอก (Olive Pomace Oil)
คือ น้ำมันมะกอก ที่สกัดจากกากมะกอก โดยใช้ตัวทำละลายทางเคมี จึงคุณภาพต่ำสุด